วิธีการเคลมประกันรถยนต์ที่ต้องรู้

ประกันรถยนต์

เวลาเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งนั้น หลายๆ ท่านก็คงจะคิดถึง “ประกันภัย” ที่ได้ทำสัญญาและข้อตกลงกันไว้ใช่มั้ยหล่ะครับ ซึ่งการทำประกันเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกคนอุ่นใจเป็นอย่างมาก แถมยังช่วยแบ่งเบาในยามคับขันได้เป็นอย่างดีครับ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็น “อุบัติเหตุ” ก็คงไม่มีใครอยากจะใช้บริการกันสักเท่าไหร่ใช่มั้ยหล่ะครับ บทความนี้จึงอยากมาแนะนำเกี่ยวกับ “วิธีการเคลมประกันรถยนต์ที่ต้องรู้” ให้กับทุกๆ ท่านได้ทราบเพราะอาจได้ใช้กันครับ จะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้น…เราไปชมกันเล้ยย!!!

รูปแบบของประกันรถยนต์ที่น่าสนใจ

1.) การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่เรียกกันว่า ประกันภัยตาม พ.ร.บ.

การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่เรียกกันว่า การประกันภัยตาม พ.ร.บ. เป็นการประกันภัยที่กฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำประกันภัย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ให้ความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุรถยนต์ทุกคนที่ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คนเดินถนน หากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย ให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าเสียหายเบื้องต้นอย่างทันท่วงที และเป็นหลักประกันแก่สถานพยาบาลทุกแห่งว่าได้รับค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ให้การรักษาแก่ผู้ประสบภัยจากรถยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง

2.) การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ

การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ : เป็นการประกันภัยที่กฎหมายไม่ได้บังคับขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เอาประกันภัยที่เห็นถึงความเสี่ยงภัย และต้องการที่จะกระจาย ความเสี่ยงออก ซึ่งผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองตามความต้องการเพื่อเพิ่มความคุ้มครองที่ได้จาก พ.ร.บ

ประกันรถยนต์แต่ละชั้น ความคุ้มครองแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน?

●ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ให้การคุ้มครองมากที่สุด รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของเรา และที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สิน ชีวิตและร่างกายของคู่กรณี หากเราเป็นฝ่ายผิด รวมถึงกรณีรถยนต์ของเราสูญหาย หรือไฟไหม้ สำหรับรถคันใหม่ หรือมือใหม่หัดขับ พอมีเงินจ่ายค่าเบี้ย เลือกประกัยภัยรถยนต์ชั้น 1 ไว้ก็อุ่นใจทุกกรณี

●ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 2 รับผิดชอบเกือบทุกอย่างเหมือนประเภทที่ 1 รวมกรณีรถยนต์ของเราสูญหายหรือไฟไหม้ เพียงแต่ไม่รวมความเสียหายกับรถยนต์ของเรา คือรถเราต้องจ่ายเอง สำหรับคนขับรถช่ำชองแล้ว มั่นใจการขับรถตัวเองว่ารอบคอบ ปลอดภัยพอสมควร หรือใช้รถไม่บ่อย การเลือกประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

●ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 2+ รับผิดชอบทุกอย่างเหมือนประเภทที่ 2 บวกรับผิดชอบกับรถยนต์ของเรากรณีชนกับยานพาหนะทางบก (ชนกับอย่างอื่นไม่ได้) สนใจประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2+ คลิก

●ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 3 รับผิดชอบเฉพาะของคู่กรณี ในกรณีเราเป็นฝ่ายผิด แต่ไม่รับผิดชอบความเสียหายของรถยนต์เรา เหมาะสำหรับรถเก่าอายุหลายปี

วิธีการเคลมประกันรถยนต์

การเคลมประกันรถยนต์แบบสด  หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘เคลมสด’ เป็นการเคลมรถในที่เกิดเหตุ โดยจะมีพนักงานของบริษัทประกันที่เราทำไว้มาตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุทันที  สามารถแยกออกได้เป็น 2 รูปแบบ ดังนี้

เคลมสดแบบมีคู่กรณี คือ กรณีที่รถชนรถด้วยกันเอง โดยพนักงานจากบริษัทประกันจะพิจารณาว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด โดยฝ่ายที่ผิดอาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible)* ให้กับคู่กรณีก่อน ตามแต่ที่ตกลงไว้กับทางบริษัทประกัน

เคลมสดแบบไม่มีคู่กรณี คือ กรณีที่รถของผู้ถือประกันชนเข้ากับสิ่งของหรือวัตถุจนเกิดความเสียหายมาก เช่น ชนต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า โดยกรณีนี้ผู้ถือประกันจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Excess)** ก่อนเสมอ

เคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง หรือที่เรียกว่า การเคลมประกันรถรอบคัน คือ การเคลมประกันรถที่ผู้เอาประกันไปเคลมด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่มักเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณีและไม่รุนแรงมาก หรือขับรถชนสิ่งของ เช่น ขับรถขูดฟุตบาท ถอยรถชนต้นไม้ เสาไฟฟ้า เป็นต้นในกรณีเคลมประกันรถแห้ง ควรจด วัน เวลา สถานที่ เกิดเหตุที่ชัดเจน เพื่อติดต่อพนักงานและแจ้งเคลมประกันรถยนต์ เอกสารที่ต้องใช้ในการเคลมประกันรถยนต์ ในการติดต่อบริษัทประกันเพื่อทำเรื่องเคลมประกันรถยนต์นั้น จะต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม บัตรประจำตัวประชาชน, ใบขับขี่หรือสำเนา, เล่มทะเบียนรถ หรือสำเนา, สำเนากรมธรรม์ประกันภัย, ใบรับรองความเสียหาย หรือ ใบเคลมประกันรถที่ทางบริษัทออกให้ สำหรับยื่นให้อู่ซ่อมรถ, รูปถ่ายหลักฐาน ณ ที่เกิเหตุ รวมถึงบันทึกความเสียหาย เวลา และสถานที่อย่างชัดเจน ครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลเกี่ยวกับ “วิธีการเคลมประกันรถยนต์ที่ต้องรู้” ที่พวกเราได้รวบรวมมาฝากทุกๆ ท่านกันในบทความข้างต้นกัน คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆ ท่านไม่มากก็น้อยกันนะครับ